เรื่องล่าสุด

หมวดหมู่

สกุล Carnegiea

Carnegiea

สกุล Carnegiea แคคตัสในกลุ่มนี้มีเพียงชนิดเดียว คือ Carnegiea gigantea ชื่อสกุล Carnegiea นี้มีตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นเกียรติให้แก่นักบุญ Andrew Carnegie

แคคตัสสกุลนี้มีลักษณะรูปร่างต้นเป็นทรงกระบอกขนาดใหญ่ สูงถึง 12 เมตร โดยปกติจะแตกกิ่งเมื่ออายุ 20-30 ปีไปแล้ว โดยจะแตกกิ่งออกมา ตรงบริเวณระดับความสูง 3 เมตร เหนือจากพื้นดิน โคนต้นอาจมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 60 เซนติเมตร ลำต้นเป็นสันประมาณ 24 สัน มีลักษณะค่อนข้างกลม ตุ่มหนามเป็นสีน้ำตาล มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ปกคลุมด้วยหนามราว 20 อัน และมีหนามกลางที่แข็งแรงประมาณ 3-6 อัน ยาวประมาณ 5-6 เซนติเมตร ในระยะแรกนั้นหนามจะมีสีขาว และต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีที่คล้ำลง

ดอกมีลักษณะเป็นทรงกรวย สีขาว เป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร เกิดในบริเวณส่วนยอดของลำต้นและมักจะบานตอนกลางคืน ผลเป็นรูปไข่มีขนาดยาวมากกว่า 7.5 เซนติเมตร มีเกล็ดสีเขียวปกคลุมเป็นชั้นๆ เมื่อแก่จะเป็นสีแดงและแตกบานออกคล้ายดอก ภายในผลมีเนื้อสีแดงม่วง และมีเมล็ดสีดำ

แคคตัสสกุล Carnegiea มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา และบริเวณทะเลทรายโซโนราน (Sonoran) ทางตอนเหนือของเม็กซิโก พบได้ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร แคคตัสสกุลนี้ปลูกเลี้ยงได้ง่าย ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด แต่จะเจริญเติบโตช้าถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ โดยใช้เวลาประมาณ 40-60 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นจึงจะแตกกิ่งก้านออก

สกุล Gymnocalycium

Gymnocalycium

สกุล Gymnocalycium แคคตัสในกลุ่มนี้มีอยู่มากกว่า 120 ชนิดและอีกหลายสายพันธุ์ชื่อสกุล Gymnocalycium มาจากภาษากรีก หมายถึง ตาเปลือย (nakedbud) แคคตัสในกลุ่มนี้เป็นสกุลที่น่าสนใจ เพราะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันออกไปและมีดอกที่มีสีสันสวยงาม บางชนิดอาจะมีขนาดเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 7.5 เซนติเมตร เช่น Gymnocalycium baldianum แต่บางชนิดก็อาจจะมีขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 เซนติเมตร เช่น Gymncalycium spegazzinii ชนิดที่มีต้นขนาดเล็กมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ส่วนชนิดที่มีขนาดใหญ่มักจะพบว่าอยู่เป็นต้นเดี่ยวๆ สีของต้นมีตั้งแต่สีเขียวถึงสีน้ำตาลแดง หรือเป็นสีเทาคล้ายกับหินชนวน ลำต้นเป็นสันประมาณ 6-20 สัน มีลักษณะยื่นออกมาคล้ายคาง ตุ่มหนามมีลักษณะทรงกลมเป็นรูปไข่ ปกคลุมด้วยปุยสีขาวหรือสีเหลือง ในต้นที่มีขนาดเล็กตุ่มหนามจะอยู่ชิดติดกัน ส่วนในต้นที่มีขนาดใหญ่นั้นจะมีตุ่มหนามอยู่ห่างกัน ตุ่มหนามประกอบไปด้วยหนามข้างที่ละเอียดกระจายแยกออกจากกันแนบกับลำต้น มีอยู่ประมาณ 2-12 อัน และยาวประมาณ 1-6 เซนติเมตร ส่วนหนามกลางจะยาวกว่าหนามข้างเล็กน้อย มีลักษณะแข็ง โผล่ตั้งออกมาจากลำต้น และมีหลากหลายสี

ดอกมีหลายลักษณะ มีทั้งที่เป็นทรงกรวยและทรงระฆัง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-7.5 เซนติเมตร มีหลายสี เช่น สีขาว สีเขียว สีชมพู และสีแดง ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวปนน้ำตาล สีแดง หรือสีเทาคล้ายกับหินชนวน ผิวของผลมีลักษณะเป็นเกล็ดซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายกับผิวนอกของหลอดดอก มีขนาดยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร

แคคตัสในสกุล Gymnocalycium มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหลายๆ พื้นที่ของอาร์เจนตินา โบลิเวีย ปารากวัย และอุรุกวัย พบได้ในหลายพื้นที่ ทั้งในที่ที่ระดับความสูง 3,500 เมตร ในทุ่งหญ้า หิน ดิน ทราย บางชนิดที่มีรูปร่างอ้วน กลม นั้นเคยพบว่าถูกฝังอยู่ในทรายตลอดฤดูร้อน แคคตัสในสกุลนี้ปลูกเลี้ยงได้ง่าย สามารถออกดอกได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปี ในช่วงฤดูร้อนต้องการน้ำมาก และควรงดให้น้ำในฤดูหนาวเพื่อช่วยในการต้านทานและทนต่ออุณหภูมิต่ำได้

สกุล Echinocactus

Echinocactus

สกุล Echinocactus แคคตัสสกุลนี้มีอยู่มากกว่า 10 ชนิด ต้นมีทรงกลมถึงทรงกระบอก อาจขึ้นเป็นต้นเดี่ยวหรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ บางชนิดมีใหญ่มาก อาจะมีความสูงถึง 1.8 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1 เมตร ผิวต้นมีสีเขียวถึงสีเขียวอมฟ้า เนื้อเยื่อชั้น epidemis (เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ชั้นอื่นๆ) แข็งแรงมาก ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ร้อนแรงได้ดี ตอนกลางด้านบนของต้นจะมีปุยสีขาวถึงสีเหลืองคลุมลำตันเป็นสัน 8-50 สัน มีตุ่มหนามอยู่ห่างกันเห็นได้ชัดเจน ประกอบด้วยหนามข้างที่ตรงหรือโค้ง แผ่กระจายออกมาจากตุ่มหนาม แต่บางชนิดอาจะแนบชิดไปกับผิวต้น มีความแข็งแรงมาก ประมาณ 5-12 อัน ยาวมากกว่า 5 เซนติเมตรและมีหนามกลางที่แข็งแรงกว่ายื่นตรงออกมาจากต้น 1-4 อัน ยาวประมาณอันละ 5-10 เซนติเมตร สีหนามมีตั้งแต่สีขาว สีชมพู สีเหลืองทองจนถึงสีดำ

ดอกออกเป็นวงรอบยอดของต้นซึ่งมีปุยนุ่ม ส่วนชนิดที่ต้นมีขนาดใหญ่จะออกดอกเป็นวงรอบส่วนบนของต้น ดอกมีหลายสี แต่ส่วนมากอยู่ในโทนสีเหลือง ยกเว้น Echinocactus horizonthalonius ซึ่งมีดอกมีสีชมพูจนถึงม่วง ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.25 เซนติเมตร หลอดดอกมีลักษณะเป็นปุยนุ่ม เมื่อบานจะแผ่กว้างออก ผลมีสีเหมือนกับส่วนปุยนุ่มบนต้น ผิวภายนอกมีลักษณะเป็นขนหรือปุยนุ่มปกคลุมเมื่อแก่เต็มที่จะแห้ง

แคคตัสสกุล Echinocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและทางเหนือของเม็กซิโก และทางตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา มักพบอยู่ตามบริเวณที่เป็นหินหรือพุ่มไม้ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดได้ดี เจริญเติบโตได้เร็ว โดยเฉพาะ Echinocactus grusonii แต่มีบางชนิด เช่น Echinocactus horizonthalonius และ Echinocactus polycephalus นั้น จะเจริญเติบโตช้า หากเกิดจากการเพาะเมล็ดเมื่อต้นยังเล็ก ควรระวังอันตรายจากอุณหภูมิต่ำและควรงดให้น้ำเมื่อถึงฤดูหนาว

สกุล Neoporteria

Neoporteria

สกุล Neoporteria สกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 24 ชนิด และหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Neoporteria ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Carlos Porter นักกีฏวิทยาชาวชีลี ลักษณะรูปร่างต้นเป็นทรงกลมขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 10 เซนติเมตร แต่ก็พบที่เป็นทรงกระบอกสูงกว่า 1.5 เมตร ลำต้นเป็นสันแข็งแรงมีประมาณ 10-25 สัน ตุ่มหนามเป็นรูปไข่ยาวมากกว่า 1.5 เซนติเมตร ประกอบไปด้วยหนามข้าง 10-50 อัน ส่วนหนามกลางมีมากกว่า 6 อัน หนามอันที่ยาวที่สุดยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร มีหลายสี เช่น สีเหลืองทอง สีน้ำตาล และสีดำ ดอกก็มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีชมพู สีแดง สีแดงม่วง กลีบดอกแคบยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มักผลิดอกตรงกลางยอดลำต้น และบานไม่มากนัก ชนิดที่มีต้นขนาดเล็กมักผลิดอกดก ผลมีลักษณะยาวรีขนาดเล็ก เมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองจนถึงสีแดง

แคคตัสสกุล Neoporteria มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและตอนเหนือของชีลี ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด ต้องการดินที่มีการระบายน้ำที่ดี ในฤดูร้อนควรให้น้ำอย่างเพียงพอ และควรงดให้น้ำในฤดูหนาว

สกุล Uebelmannia

Uebelmannia

สกุล Uebelmannia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด ลำต้นมีลักษณะทรงกลม และทรงกระบอก ขนาดเล็ก ลำต้นเป็นสันสีน้ำตาลอมแดง ผิวต้นเป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง สันต้นประกอบไปด้วยตุ่มหนามที่มีปุยสีขาว ปกคลุม และมีหนามแข็ง สั้นๆ ตั้งตรงสีขาวอยู่ 2-3 อัน ดอกมีสีเหลือง ลักษณะทรงกรวย ขนาดเล็ก จะผลิดอกบริเวณปลายยอดของต้น ผลมีลักษณะทรงกลมหรือทรงกระบอก สีเหลืองอมเขียวหรือสีแดง เกิดบริเวณปลายยอดของต้น เมล็ดมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ สีดำ หรือสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.3 มิลลิเมตร

แคคตัสในสกุล Uebelmannia มีถิ่นกำเนิดในบราซิล ชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ร่มเงา ความชื้นในอากาศต่ำ และอากาศอบอุ่น และที่สำคัญก็คือไม่ควรงดให้น้ำโดยการรดลงดินโดยตรง แต่ควรให้โดยการฉีดพ่นเป็นฝอยจะดีกว่า