เรื่องล่าสุด

หมวดหมู่

กลุ่ม Rebutia

Rebutia

กลุ่ม Rebutia แคคตัสกลุ่มนี้เป็นพืชพื้นเมืองของทางภาคใต้อเมริกา มีลักษณะรูปร่างลำต้นเป็นทรงหลอดยาว บางพันธุ์ก็มีทรงกลม แตกเป็นกอและออกดอกที่ปลายหลอด (ต้น) ดอกนั้นก็มีหลากหลายสีด้วยกัน เช่น สีส้ม สีเหลือง สีครีม สีชมพู และสีแดง สำหรับสายพันธุ์ ก็มีด้วยกันหลายสายพันธุ์ ได้แก่ Rebutia haagei , Rebutia costata, Rebutia fiebrigii, Rebutia pseudodeminuta , Rebutia aureiflora , Rebutia pygmaea เป็นต้น

การขยายพันธุ์แคคตัสโดยการต่อยอด

การขยายพันธุ์แคคตัสโดยการต่อยอด ปัจจุบันเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับแคคตัสพันธุ์ที่มีสีสันต่างๆ ที่ไม่ใช่สีเขียว เช่น สกุล Gymnocalycium นำมาต่อกับต้นตอสีเขียว เช่น สกุล Cereus , Trichocereus หรือ Opuntia ซึ่งมีสารคลอโรฟีลล์ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ดูดน้ำ และแร่ธาตุ ไปเลี้ยงต้นที่มีสีซึ่งหาอาหารเองไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ เป็นการนำส่วนของต้นที่เจริญเติบโตช้าต่อเข้าต้นต่อของต้นที่แข็งแรงและโตเร็วกว่า การต่อยอดช่วยร่นระยะเวลาในการออกดอก ซึ่งตามปกติ แคคตัสจะใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 1-2 อย่างปี กว่าจะเจริญเติบโตจนสามารถออกดอกได้ บางสกุลจะใช้เวลานานถึง 10-20 ปีเลยทีเดียว การต่อยอดจึงช่วยให้ต้นแตกกิ่งก้าน และออกดอกเร็วกว่าปกติ ยกเว้นบางสกุลที่มี cephalium เช่น Melocactus , Discocactus ที่การต่อยอดไม่มีผลในการร่นระยะเวลาการออกดอกนัก

นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีการต่อยอดเพื่อจะได้ตัดส่วนที่แตกใหม่ไปใช้ในการแพร่พันธุ์ เนื่องจากแคคตัสบางชนิดไม่แตกสาขาออกไป แต่จะแตกก็ต่อเมื่อนำไปต่อเข้ากับต้นอื่น หรืออีกประกานหนึ่ง คือ เพื่อช่วยในการรักษาต้นที่เสียรากไปเอาไว้ได้ หรือใช้ในการปลูกพันธุ์ที่เติบโตด้วยรากของตัวเองได้ลำบาก ในการต่อยอดแคคตัสนั้นไม่มีการจำกัดอายุของต้นว่าควรเป็นเท่าใด แต่ต้นอ่อนจะสามารถต่อได้ง่ายกว่าเพราะไม่แข็งจนเกินไปนัก ดังนั้นถ้าเป็นแคคตัสที่มีอายุ 1-2 ปี จึงสามารถนำไปต่ดยอดได้ผลเป็นอย่างดี

อุปกรณที่สำหรับใช้ในการต่อยอดมีเพียงที่สะอาดและคมมากๆ เช่น ใบมีดโกน โดยวิธีการต่อยอดทำได้ง่ายๆ คือใช้มีดปาดส่วนยอดของต้นตอ (stock) และโคนของต้นพันธุ์ (scion) ต้องระวังให้รอยตัดเรียบสม่ำเสมอ เฉือนมุมต้อตอแต่ละด้านให้ลาดเอียงประมาณ 45 องศา เพื่อช่วยระบายน้ำไม่ให้ขังเป็นแอ่งเบริเวณรอยต่อ ส่วนโคนของต้นพันธุ์ควรเฉือนให้เรียบเสมอกันและให้พื้นที่หน้าตัดเหมาะสมกับต้นตอ คือ ควรให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรอยตัดใกล้เคียงกัน เพราะเนื้อเยื่อพืชแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นนอกที่เรียกว่า epidermis ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ชั้นอื่นๆ และเนื้อเยื่อชั้นในซึ่งเรียกว่า vascular tissue ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการลำเลียงน้ำและอาหาร เนื้อเยื่อชั้นนอกของพืชจะเจริญเติบโตเร็วกว่าชั้นในถ้าเนื้อเยื่อชั้นนอกของต้นตอและต้นพันธุ์เชื่อมติดกันและขยายขนาดจนรอยต่อสูงขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อขั้นในที่เจริญเติบโตช้ากว่าไม่เชื่อมติดกัน ต้นพันธุ์จะขาดน้ำและอาหารจนตายไปในที่สุด

เมื่อตัดเฉือนทั้งต้นตอและต้นพันธุ์แล้ว ให้นำต้นพันธุ์มาวางซ้อนบนต้นตอ ยึดด้วยด้ายหรือเทปใส จากนั้นนำกระถางไปวางไว้ในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทสะดวก และมีระดับความชื้นในอากาศไม่สูงมากนัก ในระยะแรกๆ นั้นไม่ควรรดน้ำ รอไปสักประมาณ 1-2 สัปดาห์ รอยต่อจะเชื่อมกันจึงแกะด้ายออกหรือเทปใสออก ในระยะนี้ต้องดูแลให้โคนเปียกชื้นโดยการรดน้ำที่โคนต้น และหาร่มเงาให้ยอดที่แตกใหม่ และให้อยู่ในที่อบอุ่นเป็นเวลาประมาณ 10-14 วัน หากยอดที่ต่อใหม่ไม่หักลงมาก็ถือว่าใช้ได้ และสามารถดูแลได้ตามปกติ

สกุล Pilosocereus

Pilosocereus

สกุล Pilosocereus แคคตัสสกุลนี้มีอยู่ประมาณ 50 ชนิด ชื่อสกุล Pilosocereus มาจากภาษาละติน หมายถึง ขนจำนวนมากคล้ายเส้นผม ลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งก้าน สูง 1-10 เมตร ต้นสีเขียวอ่อนเป็นสัน 6-14 สัน ตุ่มหนามปกคลุมด้วยหนามจำนวนมาก ประกอบด้วยหนามข้าง 5-25 อัน แต่ละอันยาว 1-2 เซนติเมตร และหนามกลาง 8 อัน แต่ละอันยาวได้ถึง 10 เซนติเมตร ซึ่งในบางชนิดนั้นพบว่าหนามกลางและหนามข้าง ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน หนามมีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาล

ดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวย มีหลายสี เช่น สีขาว สีขาวอมเขียว สีชมพู และสีม่วง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7.5 เซนติเมตร มักเกิดที่บริเวณส่วนบนของต้นที่มีขนปกคลุมเป็นจำนวนมาก ผลทรงกลม ผิวเกลี้ยง ไม่มีขนปกคลุม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร

แคคตัสสกุล Pilosocereus มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบราซิล คิวบา เม็กซิโก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา และหมู่เกาะเวสต์อินดีส ขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยการเพาะเมล็ดและการตัดชำ แต่ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้

สกุล Lophophora

Lophophora

สกุล Lophophora แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่เพียง 2 ชนิด แต่มีหลากหลายสายพันธุ์ชื่อสกุล Lophophora มาจากภาษากรีก หมายถึง การผลิดอกออกผลที่ส่วนยอด (crest-bearing) ลักษณะลำต้นเป็นทรงกลม อ่อนนุ่ม เหลืองซีดจนถึงสีเขียวอมฟ้า ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8-13 เซนติเมตร มีทั้งขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และเป็นกลุ่ม เป็นระบบรากที่สมบูรณ์ มีลำต้นเป็นสัน ประมาณ 5-13 สัน ตุ่มหนามมีปุยสีขาว อยู่ห่างกันเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีหนาม

ดอกมีหลากหลายสีด้วยกัน เช่น สีขาว สีเหลือครีม และสีชมพู จะมีเส้นสีเข้มตรงกลางตามความยาวของกลีบดอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25-2.5 เซนติเมตร จะเกิดดอกบริเวณยอดที่มีสีขาวปกคลุม ผลมีลักษณะยาว รี ค่อนข้างเล็ก เมื่อแก่จะเป็นสีขาว สีชมพู หรือสีแดง ภายในจะมีเมล็ดอยู่ 2-3 เมล็ด

แคคตัสในสกุล Lophophora มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางของเม็กซิโก และทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา เช่น ในรัฐเท็กซัส สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวหรือดินทราย โตช้า แต่ให้ผลได้ง่าย สามารถออกดอกภายใน 5-6 ปี

สกุล Carnegiea

Carnegiea

สกุล Carnegiea แคคตัสในกลุ่มนี้มีเพียงชนิดเดียว คือ Carnegiea gigantea ชื่อสกุล Carnegiea นี้มีตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นเกียรติให้แก่นักบุญ Andrew Carnegie

แคคตัสสกุลนี้มีลักษณะรูปร่างต้นเป็นทรงกระบอกขนาดใหญ่ สูงถึง 12 เมตร โดยปกติจะแตกกิ่งเมื่ออายุ 20-30 ปีไปแล้ว โดยจะแตกกิ่งออกมา ตรงบริเวณระดับความสูง 3 เมตร เหนือจากพื้นดิน โคนต้นอาจมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 60 เซนติเมตร ลำต้นเป็นสันประมาณ 24 สัน มีลักษณะค่อนข้างกลม ตุ่มหนามเป็นสีน้ำตาล มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร ปกคลุมด้วยหนามราว 20 อัน และมีหนามกลางที่แข็งแรงประมาณ 3-6 อัน ยาวประมาณ 5-6 เซนติเมตร ในระยะแรกนั้นหนามจะมีสีขาว และต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีที่คล้ำลง

ดอกมีลักษณะเป็นทรงกรวย สีขาว เป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร เกิดในบริเวณส่วนยอดของลำต้นและมักจะบานตอนกลางคืน ผลเป็นรูปไข่มีขนาดยาวมากกว่า 7.5 เซนติเมตร มีเกล็ดสีเขียวปกคลุมเป็นชั้นๆ เมื่อแก่จะเป็นสีแดงและแตกบานออกคล้ายดอก ภายในผลมีเนื้อสีแดงม่วง และมีเมล็ดสีดำ

แคคตัสสกุล Carnegiea มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา และบริเวณทะเลทรายโซโนราน (Sonoran) ทางตอนเหนือของเม็กซิโก พบได้ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร แคคตัสสกุลนี้ปลูกเลี้ยงได้ง่าย ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด แต่จะเจริญเติบโตช้าถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ โดยใช้เวลาประมาณ 40-60 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นจึงจะแตกกิ่งก้านออก