เรื่องล่าสุด

หมวดหมู่

สกุล Gymnocalycium

Gymnocalycium

สกุล Gymnocalycium แคคตัสในกลุ่มนี้มีอยู่มากกว่า 120 ชนิดและอีกหลายสายพันธุ์ชื่อสกุล Gymnocalycium มาจากภาษากรีก หมายถึง ตาเปลือย (nakedbud) แคคตัสในกลุ่มนี้เป็นสกุลที่น่าสนใจ เพราะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันออกไปและมีดอกที่มีสีสันสวยงาม บางชนิดอาจะมีขนาดเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 7.5 เซนติเมตร เช่น Gymnocalycium baldianum แต่บางชนิดก็อาจจะมีขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 เซนติเมตร เช่น Gymncalycium spegazzinii ชนิดที่มีต้นขนาดเล็กมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ส่วนชนิดที่มีขนาดใหญ่มักจะพบว่าอยู่เป็นต้นเดี่ยวๆ สีของต้นมีตั้งแต่สีเขียวถึงสีน้ำตาลแดง หรือเป็นสีเทาคล้ายกับหินชนวน ลำต้นเป็นสันประมาณ 6-20 สัน มีลักษณะยื่นออกมาคล้ายคาง ตุ่มหนามมีลักษณะทรงกลมเป็นรูปไข่ ปกคลุมด้วยปุยสีขาวหรือสีเหลือง ในต้นที่มีขนาดเล็กตุ่มหนามจะอยู่ชิดติดกัน ส่วนในต้นที่มีขนาดใหญ่นั้นจะมีตุ่มหนามอยู่ห่างกัน ตุ่มหนามประกอบไปด้วยหนามข้างที่ละเอียดกระจายแยกออกจากกันแนบกับลำต้น มีอยู่ประมาณ 2-12 อัน และยาวประมาณ 1-6 เซนติเมตร ส่วนหนามกลางจะยาวกว่าหนามข้างเล็กน้อย มีลักษณะแข็ง โผล่ตั้งออกมาจากลำต้น และมีหลากหลายสี

ดอกมีหลายลักษณะ มีทั้งที่เป็นทรงกรวยและทรงระฆัง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-7.5 เซนติเมตร มีหลายสี เช่น สีขาว สีเขียว สีชมพู และสีแดง ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวปนน้ำตาล สีแดง หรือสีเทาคล้ายกับหินชนวน ผิวของผลมีลักษณะเป็นเกล็ดซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายกับผิวนอกของหลอดดอก มีขนาดยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร

แคคตัสในสกุล Gymnocalycium มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหลายๆ พื้นที่ของอาร์เจนตินา โบลิเวีย ปารากวัย และอุรุกวัย พบได้ในหลายพื้นที่ ทั้งในที่ที่ระดับความสูง 3,500 เมตร ในทุ่งหญ้า หิน ดิน ทราย บางชนิดที่มีรูปร่างอ้วน กลม นั้นเคยพบว่าถูกฝังอยู่ในทรายตลอดฤดูร้อน แคคตัสในสกุลนี้ปลูกเลี้ยงได้ง่าย สามารถออกดอกได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปี ในช่วงฤดูร้อนต้องการน้ำมาก และควรงดให้น้ำในฤดูหนาวเพื่อช่วยในการต้านทานและทนต่ออุณหภูมิต่ำได้

สกุล Echinocactus

Echinocactus

สกุล Echinocactus แคคตัสสกุลนี้มีอยู่มากกว่า 10 ชนิด ต้นมีทรงกลมถึงทรงกระบอก อาจขึ้นเป็นต้นเดี่ยวหรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ บางชนิดมีใหญ่มาก อาจะมีความสูงถึง 1.8 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1 เมตร ผิวต้นมีสีเขียวถึงสีเขียวอมฟ้า เนื้อเยื่อชั้น epidemis (เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ชั้นอื่นๆ) แข็งแรงมาก ช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ร้อนแรงได้ดี ตอนกลางด้านบนของต้นจะมีปุยสีขาวถึงสีเหลืองคลุมลำตันเป็นสัน 8-50 สัน มีตุ่มหนามอยู่ห่างกันเห็นได้ชัดเจน ประกอบด้วยหนามข้างที่ตรงหรือโค้ง แผ่กระจายออกมาจากตุ่มหนาม แต่บางชนิดอาจะแนบชิดไปกับผิวต้น มีความแข็งแรงมาก ประมาณ 5-12 อัน ยาวมากกว่า 5 เซนติเมตรและมีหนามกลางที่แข็งแรงกว่ายื่นตรงออกมาจากต้น 1-4 อัน ยาวประมาณอันละ 5-10 เซนติเมตร สีหนามมีตั้งแต่สีขาว สีชมพู สีเหลืองทองจนถึงสีดำ

ดอกออกเป็นวงรอบยอดของต้นซึ่งมีปุยนุ่ม ส่วนชนิดที่ต้นมีขนาดใหญ่จะออกดอกเป็นวงรอบส่วนบนของต้น ดอกมีหลายสี แต่ส่วนมากอยู่ในโทนสีเหลือง ยกเว้น Echinocactus horizonthalonius ซึ่งมีดอกมีสีชมพูจนถึงม่วง ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.25 เซนติเมตร หลอดดอกมีลักษณะเป็นปุยนุ่ม เมื่อบานจะแผ่กว้างออก ผลมีสีเหมือนกับส่วนปุยนุ่มบนต้น ผิวภายนอกมีลักษณะเป็นขนหรือปุยนุ่มปกคลุมเมื่อแก่เต็มที่จะแห้ง

แคคตัสสกุล Echinocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและทางเหนือของเม็กซิโก และทางตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา มักพบอยู่ตามบริเวณที่เป็นหินหรือพุ่มไม้ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดได้ดี เจริญเติบโตได้เร็ว โดยเฉพาะ Echinocactus grusonii แต่มีบางชนิด เช่น Echinocactus horizonthalonius และ Echinocactus polycephalus นั้น จะเจริญเติบโตช้า หากเกิดจากการเพาะเมล็ดเมื่อต้นยังเล็ก ควรระวังอันตรายจากอุณหภูมิต่ำและควรงดให้น้ำเมื่อถึงฤดูหนาว

สกุล Uebelmannia

Uebelmannia

สกุล Uebelmannia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด ลำต้นมีลักษณะทรงกลม และทรงกระบอก ขนาดเล็ก ลำต้นเป็นสันสีน้ำตาลอมแดง ผิวต้นเป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง สันต้นประกอบไปด้วยตุ่มหนามที่มีปุยสีขาว ปกคลุม และมีหนามแข็ง สั้นๆ ตั้งตรงสีขาวอยู่ 2-3 อัน ดอกมีสีเหลือง ลักษณะทรงกรวย ขนาดเล็ก จะผลิดอกบริเวณปลายยอดของต้น ผลมีลักษณะทรงกลมหรือทรงกระบอก สีเหลืองอมเขียวหรือสีแดง เกิดบริเวณปลายยอดของต้น เมล็ดมีลักษณะทรงกลมหรือรูปไข่ สีดำ หรือสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.3 มิลลิเมตร

แคคตัสในสกุล Uebelmannia มีถิ่นกำเนิดในบราซิล ชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ร่มเงา ความชื้นในอากาศต่ำ และอากาศอบอุ่น และที่สำคัญก็คือไม่ควรงดให้น้ำโดยการรดลงดินโดยตรง แต่ควรให้โดยการฉีดพ่นเป็นฝอยจะดีกว่า

ดินปลูกสำหรับแคคตัส

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า แคคตัสเป็นพืชที่ชอบขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนแห้งแล้ง อย่างทะเลทราย แต่ในความเป็นจริงแล้วแคคตัสสามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายๆ พื้นที่ เช่น บริเวณชายฝั่งทะเล บริเวณทุ่งหญ้า ในป่าที่มีความชื้นสูง ที่ความสูงระดับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร อากาศหนาวเย็น เช่นทางตอนเหนือและตอนใต้ของอเมริกา ที่อากาศร้อนแห้งแล้ง เช่น ทะเลทราย บริเวณที่ราบ ตามซอกไหล่กินเขาซึ่งมีดินอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นหินแข็ง

นอกจากนี้ยังพบว่ามีแคคตัสหลายชนิดที่เจริญเติบโตได้โดยอาศัยร่มเงาและความชื้นจากพืชในกลุ่ม Xerophyte พวก Selaginella Lepidophylla (Resurrection Plant) เช่น แคคตัสพวก Ephithelantha bokei ซึ่งเจริญเติบโตขึ้นจากเมล็ด นั่นแสดงให้เห็นว่าแคคตัสสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพพื้นที่ และสภาพอากาศของโลกเกือบทั่วไปไม่จำกัด เฉพาะแถบทะเลทรายเท่านั้น แคคตัสจึงเหมือนกับพืชชนิดอื่นๆ ที่ต้องการวัสดุปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นดินผสมที่มีความอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นดินผสมที่มีความอุดมสมบูรณ์ โปร่งรวน น้ำไหลผ่านได้สะดวก ไม่อุ้มน้ำ และรักษาความชื้นได้ดี

ส่วนผสมของวัสดุปลูกแคคตัสนั้นโดยส่วนมากนิยมใช้ ดังนี้
– ดิน ควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนเหนียว โดยการนำดินไปตากให้แห้ง นำไปทุบให้ร่วนเป็นเม็ดเล็กๆ จากนั้นให้นำไปตากแดดจัดๆ อีกประมาณ 1-2 วัน ระวังอย่าให้ดินที่ตากแดดได้ที่แล้วถูกฝนหรือถูกความชื้นก่อนที่จะนำไปผสมกับวัสดุอื่น
– ทรายหยาบ เป็นส่วนผสมหลักที่จำเป็นสำหรับการปลูกแคคตัส สาเหตุที่ไม่ใช้ทรายละเอียดในการผสมเพราะจะทำให้ดินผสมแน่นเกินไป ทรายที่ใช้อาจเป็นทรายทะเลหรือทรายน้ำจืดก็ได้ ควรมีลักษณะหยาบเป็นเม็ดๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว เพราะจะช่วยให้ดินผสมโปร่ง ระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำขังแฉะเมื่อถูกฝนหรือรดน้ำ ให้นำทรายหยาบไปล้างน้ำให้สะอาดและนำไปตากแดดให้แห้งดีก่อนจะนำไปใช้
– ถ่านป่น คือ ถ่านดำนำมาทุบให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ
– ใบไม้ผุ จะใช้ใบไม้อะไรก็ได้ที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็นใบก้ามปูได้ยิ่งดี แต่บางครั้งอาจใช้กากเมล็ดฝ้าย เปลือกถั่ว ขี้เลื้อย หรือแกลบคั่ว อย่างใดอย่างหนึ่งแทนก็ได้
– ปูนขาว จะใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยปรับสภาพของดินให้ดีขึ้น
– กระดูกปน จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ควรจะใช้แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อัตราส่วนในการผสม ได้แก่

  • ดิน 2 ส่วน
  • ทรายหยาบ 3 ส่วน
  • ถ่านป่น 1 ส่วน
  • ใบไม้ผุ 1 ส่วน

นอกจากนี้ยังอาจผสมปุ๋ยคอกหรืออิฐหักเข้าไปด้วยก็ได้

เมื่อเตรียมวัสดุต่างๆ ครบเรียบร้อยแล้วให้นำทรายหยาบมากองบนพื้นปูนเรียบๆ โดยกองทรายเป็นรูปกรวยคว่ำ นำดินมาโรยทับกองทรายหยาบ แล้วใช้จอบหรือเสียมสับจากด้านริม (เหมือนกับการผสมปูนซีเมนต์ก่อสร้าง) เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วให้เกลี่ยกองทรายเป็นรูปกรวยคว่ำอีกครั้ง แล้วนำใบไม้ผุเข้ามาโรยทับ ผสมเช่นเดียวกันกับครั้งแรก ากนั้นเติมถ่านป่น ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ในขณะเดียวกันก็ให้โรยปูนขาวและกระดูกป่นลงไปด้วย เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วจึงนำไปใช้เป็นดินปลูกต่อไป

สกุล Ferocactus

Ferocactus

สกุล Ferocactus แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ประมาณ 40 ชนิด ชื่อสกุล Ferocactus มีความหมายว่าหนามที่แข็งแรงมาก แคคตัสในสกุลนี้มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันออกไปมากมาย เช่น ต้นเป็นทรงกลมหรือทรงกลมแป้น มีขนาดเล็ก หรืออาจะจะเป็นต้นสูงได้ถึง 3 เมตรและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 เมตร ส่วนมากมักจะขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ แต่ก็อาจจะพบได้ 2-3 ชนิดที่จะขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม 20-30 ต้น เช่น ชนิด Ferocactus staninesii บริเวณลำต้นจะมีส่วนที่คล้ายกับหัวเล็กๆ แต่ส่วนนั้นมักจะถูกกลืนหายไปกับสันลำต้นในเวลาต่อมา ลำต้นเป็นสัน 8-30 สันและมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิดของมัน บางชนิดอาจขึ้นเป็นแถวตรง แต่บางชนิดอาจมีลักษณะบิดเป็นเกลียว ตุ่มหนามมีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยหนามข้างที่แข็งมาก มีลักษณะอ้วนและแผ่กระจายไปโดยรอบ ประมาณ 10-20 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 7.5 เซนติเมตร และหนามกลางซึ่งโผล่ตั้งออกมาจากตุ่มหนาม ตรงปลายหนามมีลักษณะเป็นรูปตะขอแข็ง ประมาณ 4 อัน และยาวได้ถึง 15 เซนติเมตร

ดอกมีลักษณะเป็นทรงระฆัง เกิดขึ้นที่บริเวณตุ่มหนามเป็นวงกลมตอนบนของต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-7.5 เซนติเมตร และมีหลายสี เช่น สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีม่วง ผลเป็นรูปไข่ มีลักษณะเป็นเกล็ดซ้อนกัน เมื่อแก่จะแห้งอยู่คาต้น ยาวมากกว่า 5 เซนติเมตร

แคคตัสสกุล Ferocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา เม็กซิโก และเกาะในแถบอ่าวแคลิฟอร์เนีย แคคตัสในกลุ่มนี้มีระบบรากตื้น ปลูกเลี้ยงง่าย และสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ด แต่จะต้องใช้เวลาหลายปี จึงจะออกดอก ชอบพื้นที่ที่เป็นหินหรือดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี และมีธาตุอาหารสมบูรณ์ ในกลุ่มที่มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาเท่านั้น ถ้าหากงดให้น้ำและมีความชื้นในอากาศต่ำ จะสามารถทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งได้ (2-3 องศาเซลเซียส) ในต้นที่มีอายุ 5-10 ปี ถ้าหากมีความชื้นในอากาศสูงจะเกิดรอยช้ำหรือเกิดจุดสีส้ม