เรื่องล่าสุด

หมวดหมู่

สกุล Weingartia

Weingartia

สกุล Weingartia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 24 ชนิดและอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Weingartia ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Wilhelm มีลักษณะเป็นทรงกลม มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ลำต้นเป็นสัน 21 สัน ตุ่มหนามมีลักษณะรูปไข่ ปกคลุมด้วยปุยนุ่มสีขาว มีขนาดใหญ่กว่า 1.25 เซนติเมตร ประกอบไปด้วยหนามข้างที่มีลักษณะโค้งงอ หรือแนบชิดไปกับลำต้น ประมาณ 16 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 0.5-3 เซนติเมตร และหนามกลางที่มีลักษณะคล้ายหนามข้าง มีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาล ส่วนปลายหนามจะมีสีเข้มกว่า มีอยู่ประมาณ 3-15 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร

ดอกมีสีเหลืองส้มถึงสีม่วง มักออกเป็นวงตรงกลางยอดของต้น ในบางชนิดจะออกดอกมากกว่า 1 ดอกในเนินหนามเดียว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร ผลมีลักษณะรูปไข่ มีสีเหลืองเขียวถึงสีเขียวคล้ำ และจะเป็นสีแดงเมื่อแก่ มีขนาดความยาวกว่า 1 เซนติเมตร

แคคตัสในสกุล Weingartia มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกของโบลิเวีย ทางตอนเหนืของอาร์เจนติน่า และในชิลี ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด ออกดอกเมื่ออายุ 2-3 ปี ชอบดินที่มีการระบายน่ำดี และชอบน้ำมากในช่วงอากาศร้อน

สกุล Discocactus

Discocactus

สกุล Discocactus แคคตัสสกุลนี้มีอยู่ไม่เกิน 20 ชนิด เจริญเติบโตช้า มักขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ ทรงกลมแป้น เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นอาจะจะแตกหน่อ หรือกิ่งก้านได้ ต้นมีหลายสี ตั้งแต่สีเขียวอ่อน สีเขียวอมน้ำตาล และสีม่วงเข้ม ต้นเป็นสัน 10-25 สัน และมีตุ่มหนามเป็นปุยนุม ประกอบด้วยหนามข้าง 5-20 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 3 เซนติเมตร และมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และหนามกลาง 1 อัน ซึ่งยาวถึง 8 เซนติเมตร หนามทั้ง 2 ชนิด สามารถจำแนกออกจากกันได้อย่างชัดเจน หนามมีหลายสี ตั้งแต่สีขาว สีเหลือง สีน้ำตาล จนถึงสีดำ

แคคตัสสกุล Discocactus มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบราซิล โบลิเวีย และปารากวัย การนำต้นไปเพาะเลี้ยงที่อื่นนอกถิ่นกำเนิดนั้นมักจะนิยมเพาะต้นจากเมล็ดมากกว่านำต้นที่โตแล้วไปเลี้ยง เพราะต้นจะตายได้ง่าย แคคตัสสกุลนี้เจริญเติบโตได้ดีในดินทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ บางครั้งอาจะจะใช้ดินผสมก็ได้ แต่ต้องมีการระบายน้ำที่ดี ต้นไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเชียสได้

การเพาะเมล็ด

การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ลงทุนน้อย ต้นใหม่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดในปริมาณมาก ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะเมล็ด คือ ช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงปลายเดือนกรกฏาคม อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ได้แก่

เมล็ดเล็กๆ จำนวนมากในผลซึ่งสุกเต็มที่ วิธีสังเกตว่าผลสุกเต็มที่แล้วหรือยัง ให้สังเกตจากการเปลี่ยนสีของผล ลักษณะผลจะนุ่มขึ้นหรือแห้ง โดยเมล็ดที่จะนำมาเพาะนั้นต้องนำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเท

ภาชนะเพาะเมล็ด จะเป็นกระบะ ตะกร้า หรือกระถาง ก็ได้ แต่ต้องเป็นภาชนะที่ช่วยรักษาความชื้นได้อย่างเหมาะสมและคงที่อยู่เสมอ สำหรับอากาศร้อนอย่างเมืองไทย อาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์คลุมทับ หรือใช้ถุงพลาสติกห่อภาชนะเพาะเพื่อช่วยรักษาความชื้น ภาชนะเพาะเมล็ดควรเตรียมไว้ 2-3 ใบ และเจาะรูที่ก้นไว้ทุกใบ เพราะความชื้นจะขึ้นมาที่เมล็ดได้ทั้งก่อนและหลังการงอก สำหรับภาชนะเพาะเมล็ดนี้ ถ้าหากไม่ได้ใช้ของใหม่ควรนำมาตั้งไฟหรืออบความร้อนเพื่อฆ่าสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อต้นกล้าด้วย

วัสดุเพาะ อาจะเป็นส่วนผสมระหว่างทรายและฮิวมันหรือปุ๋ยใบไม้ผุ วิธีเตรียมเริ่มโดยการร่อนฮิวมัสให้ได้ส่วนที่ละเอียดซึ่งลอดตะแกรงลงมา จากนั้นจึงร่อนทรายต่อ ทรายที่จะนำไปใช้คลุกเคล้ากับฮิวมัส คือส่วนของทรายหยาบที่ค้างอยู่บนตะแกรง ส่วนก้อนกรวดเล็กๆ ที่อาจจะปนอยู่ด้วยให้หยิบทิ้งไป สาเหตุที่ไม่ใช้ทรายละเอียดเพราะ ทรายละเอียดมักจะจับตัวแข็ง ซึ่งถ้าใช้ในการเพาะอาจจะเป็นอันตรายต่อต้นกล้า ปริมาณทรายหยาบจะต้องให้มีมากกว่าฮิวมัส ในอัตราส่วนฮิวมัส 1 ส่วนต่อทรายหยาบ 8-9 ส่วน

เมื่อเตรียมวัสดุเพาะแล้วให้นำไปใส่ในถาดปากกว้างหรือภาชนะโลหะ นำไปตั้งไฟหรืออบความร้อนประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเย็นลงแล้วจึงนำไปบรรจุไว้ในภาชนะที่สะอาด จุดประสงค์ของการอบความร้อนก็เพื่อฆ่าสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อต้นกล้า เช่น เมล็ดของวัชพืช ซึ่งถ้าปล่อยให้เมล็ดของวัชพืชเจริญเติบโตพร้อมๆ กับเมล็ดที่เพาะจะทำให้การกำจัดในภายหลังเป็นไปด้วยความยากลำบาก และอาจจกระทบกระเทือนต่อเมล็ดที่เพาะอยู่ด้วย หรือถ้าหากต้องการฆ่าเชื้อราซึ่งอาจจะมีผลต่อเมล็ดที่ยังอยู่ในเปลือกหุ้ม ให้ใช้สารละลายโพแทสเซียม ไฮดรอปซิควิโนไลน์ ซัลเฟต ชนิดเข้มข้นละลายน้ำจนเจือจาง อาจจะกะขนาดได้โดยโรยผงชนิดนี้ลงบนเหรียญบาทแล้วนำไปละลายในน้ำครึ่งลิตร รดลงบนวัสดุเพาะเป็นน้ำแรก สานละลายชนิดนี้มีราคาไม่แพง นอกจากนี้โพแทสเซียม ไฮดรอปซิควิโนไลน์ ซัลเฟต ในปริมาณ 1/8 – 1/4 ออนซ์ จะสามารถใช้ได้นาน 1-2 ฤดูกาลเลยทีเดียว

สำลี ไม่ต้องเตรียมไว้มากนัก แต่ควรเป็นสำลีชิ้นใหญ่ เพราะจะใช้ในการปิดรูที่ก้นภาชนะเพาะ

น้ำ ควรเป็นน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ แล้ว

จานหรือถาดแบนๆ ใช้สำหรับรองภาชนะเพาะเมล็ด

กระป๋องพ่นน้ำ ควรเป็นชนิดที่สามารถพ่นน้ำเป็นฝอยเล็กๆ ได้

แผ่นบังแดด สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างสำหรับการขยายพันธุ์แคคตัสด้วยการเพาะเมล็ด คือ ต้องมีร่มเงาให้แก่เมล็ด โดยอาจจะทำแผ่นบังแดดได้อย่างง่ายดายโดยใช้กรอบเก่าที่ไม่มีกระจกขึงด้วยผ้ามัสลิน เพราะจะช่วยให้อากาศผ่านเข้าออกได้ และช่วยบังแสงแดดในเวลาเดียวกัน ในการวางกรอบไม้ควรจะให้เหลือระยะห่างประมาณ 5 เซนติเมตร และไม่ควรบังคับไว้ตลอดเวลา เพราะเมล็ดต้องการอากาศหมุนเวียน หรืออาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งโดยการใช้เศษไม้ หนาๆ หรือกระถางมาวางไว้ทั้ง 4 มุม จากนั้นวางไม้ยาวลงบนด้านทั้งสี่แล้ววางกระดาษทิชชูลงบนไม้ สำหรับวิธีนี้อาจจะไม่ค่อยสะดวกนักตรงที่จะต้องเลิกแผ่นกระดาษออกทุกครั้งที่รดน้ำ หรือตรวจจานเพาะเมล็ด

สกุล Mammillaria

Mammillaria

สกุล Mammillaria แคคตัสในสกุลนี้มีมากกว่า 400 ชนิด และอีกหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Mammillaria มาจากภาษาละตินว่า Mammilla(nipple) หมายถึง โครงสร้างที่เป็นเนินหนามขนาดเล็กของพืช ชื่อสกุลถูกตั้งโดยนักพฤกษาศาสตร์ชาวอังกฤษที่ชื่อว่า E.H Haworth แคคตัสในสกุลนี้มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปมากมาย มีทั้งที่เป็นทรงกลมแป้นและทรงกระบอก อาจจะขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มก็จะประกอบด้วยหัวที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันออกไป ใน 1 หัวจะประกอบไปด้วยเนินหนาม ซึ่งระหว่างรอยต่อของเนินหนามมักจะมีขนปกคลุมอยู่ หนามก็มีหลายสี หลายขนาด ลักษณะเป็นขนแข็งหรือตะขอ

ดอกมีลักษณะเป็นทรงระฆังหรือทรงกรวย มีขนาดเล็ก ผลิเป็นวงตรงยอดต้น และมักจะมีท่อดอกสั้น ยกเว้นเพียงไม่กี่ชนิดที่จะมีท่อดอกขนาดยาว เช่น Mammillaria saboae fa. Haudeana ส่วนผลมีขนาดค่อนข้างเล็กเป็นรูปไข่ยื่นและเรียวเล็กผิวเกลี้ยงเรียบ มีหลายสี เช่น สีเขียว สีชมพู หรือสีแดงเมื่อแก่เต็มที่แล้ว

แคคตัสสกุล Mammillaria มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเม็กซิโก แต่บางชนิดก็อาจจะพบได้ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา แถบตะวันตกของหมู่เกาะเวสต์อินดีส และแถบอเมริกาใต้ แคคตัสในสกุลนี้สามารถปลูกเลี้ยงได้ง่ายและออกดอกได้ง่ายในดินที่มีการระบายน้ำดี ส่วนชนิดที่มีหนามไม่หนาแน่นมากจะต้องการร่มเงาบ้างเล็กน้อย

การขยายพันธุ์แคคตัสโดยการตัดแยก

การขยายพันธุ์แคคตัสโดยการตัดแยก แคคตัสส่วนใหญ่สามารถแตกสาขาออกไปได้อย่างอิสระ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะตัดส่วนที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ออกมาโดยใช้อุปกรณ์เพียงมีดคมเท่านั้น ซึ่งส่วนที่ถูกตัดแยกออกมาจากต้นนั้นเมื่อนำมาปลูกใหม่มักจะเกิดรากได้ง่าย เช่น สกุล Echiopsis , Epiphyllum , Opuntia , Zygocactus เป็นต้น การขยายพันธุ์แคคตัสด้วยวิธีนี้ควรทำในฤดูฝน เพราะสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และควรตัดในบริเวณที่แคบที่สุด

เมื่อตัดต้นกิ่ง หรือหัวย่อย ออกมาแล้ว ควรนำมาผึ่งจนกระทั่งรอยตัดแห้งดี เป็นเวลาประมาณ 10-14 วัน แต่ในกรณีที่เป็นชนิดที่มีลำต้นขนาดใหญ่และต้องตัดบริวเณที่กว้าง การจะปล่อยให้แห้งควรใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นนำมาจุ่มในผงอะลูมิเนียม (aluminium powder) หรือฮอร์โมนเร่งราก (rooting hormones) เช่น NAA (Napthalene Acetic Acid เป็นสารสังเคราะห์ชนิดหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่มออกซิน มีผลในการแบ่งเซลล์และเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์นิยมนำมาใช้เป็นสารชักนำให้เกิดราก) , IAA (Indole Acetic Acid: เป็นสารควบคุมการเจริญเติบโตในกลุ่มออกซิน ที่พืชสร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติ มีผลในการแบ่งเซลล์) , IBA (Indole Butaris Acid: เป็นสารควบคุมการเจริญเติบโตในกลุ่มออกซิน มีผลในการแบ่งเซลล์ นิยมนำมาใช้เป็นสารชักนำให้เกิดราก) เพื่อช่วยในการป้องกันเชื้อโรค แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งฮอร์โมนก็ไม่มีผลอะไรต่อแคคตัสมากนัก จะใช้ได้ผลดี ก็สำหรับชนิดที่แตกรากช้าเท่านั้น

เมื่อเตรียมต้นที่ตัดแยกออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนำมาลงชำ หรือเพราะในวัสดุปลูกที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี แต่ต้องสามารถเก็บความชื้นได้สม่ำเสมอ ส่วนมากเราจึงมักปักส่วนที่ตัดแยกออกมาลงในทรายซึ่งผสมกับดินปุ๋ยโดยให้มีส่วนผสมของทรายมากกว่า จากนั้นควรวางกระถาง ไว้ในที่ที่ร่มเงา อากาศถ่ายเทและอบอุ่น เมื่อรากใหม่งอกแล้วควรรดน้ำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์