เรื่องล่าสุด
-
ดินปลูกสำหรับแคคตัส
พฤศจิกายน 23, 2025
-
สกุล Ferocactus
พฤศจิกายน 23, 2025
-
สกุล Dolichothle
พฤศจิกายน 23, 2025
-
สกุล Aztekium
พฤศจิกายน 22, 2025
-
สกุล Corypantha
พฤศจิกายน 22, 2025
-
สกุล Lophocereus
พฤศจิกายน 21, 2025
-
กลุ่ม Hylocereus
พฤศจิกายน 21, 2025
-
ส่วนประกอบของแคคตัส
พฤศจิกายน 21, 2025
-
การจำแนกสายพันธุ์ของแคคตัส
พฤศจิกายน 21, 2025
-
การปลูกแคคตัสในกระบะ และการปลูกลงดิน
พฤศจิกายน 20, 2025
|

ชื่อสกุล Lophocereus มาจากคำว่า lophos ซึ่งหมายถึง ยอดของต้นที่ประกอบไปด้วยขนสั้นและแข็ง ต้นมีลักษณะทรงกระบอก สีเขียวสด เป็นมัน แตกกิ่งก้านได้อย่างอิสระ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร และสามารถสูงได้ถึง 10 เมตร ลำตันเป็นเป็นสัน มีประมาณ 5-15 สัน ตุ่มหนามมีลักษณะทรงกลม ซึ่งตุ่มหนามบริเวณตอนบนของต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้วพร้อมออกดอกจะมีขนาดใหญ่กว่าต้นที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ตุ่มหนามประกอบไปด้วยหนามข้าง 5-10 อัน แต่ละอันยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร และมีหนามกลาง 1-5 อัน แต่สำหรับต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่จะประกอบไปด้วยหามสั้นและแข็ง ประมาณ 25-50 อัน ซึ่งสามารถยาวได้ถึง 2.5-6 เซนติเมตร
ดอกมีลักษณะทรงกรวย สีขาวหรือสีชมพู ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ผลมีลักษณะทรงกลม เมื่อผลสุกจะเป็นสีแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 เซนติเมตร
แคคตัสสกุล Lophocereus มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเม็กซิโก และทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ขยายพันธุ์ได้ง่ายทั้งโดยการเพาะเมล้ดและปักชำ ถ้าเพาะต้นจากเมล็ดจะใช้เวลา 6-7 ปี ต้นถึงจะออกดอกได้ แคคตัสในสกุลนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทีมีระบบระบายน้ำดี และมีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์

กลุ่ม Hylocereus แคคตัสกลุ่มนี้เป็นชนิดเลื่อย มีลักษณะคล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่จัดเป็นพืชพวก epiphytic (พืชที่ดำรงชีวิตอยู่โดยอาศัยพืชอื่น แต่ไม่ทำอันตรายหรือแย่งอาหารพืชที่อาศัยอยู่) มีระบบรากอากาศ (aerial roots) เป็นพืชที่ต้องการแสงและอุณหภูมิสูง ลำต้นของแคคตัสกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นสัน หนามค่อนข้างอ่อนแอ ดอกออกในฤดูร้อน ดอกมีสีขาว แดง และชมพู
แคคตัสกลุ่มนี้มีอยู่มากมายหลายสกุล ได้แก่ Aporocactus , Crytocereus , Deamia, Disocactus , Epiphyllum , Heliocereus , Hylocereus , Mediocactus , Nopalxochia , Pfeiffera , Rhipsalidopsis , Rhipsalis , Schenicereus , Weberocereus , Wittia และ Zygocactus มีหลายสายพันธุ์ เช่น Hylocereus minutiflorus , Hylocereus undatus (Queen of night) เป็นต้น

ส่วนประกอบของแคคตัส แคคตัสส่วนใหญ่จะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันออกไปมากมาย เช่น ทรงกลม ทรงกระบอก มีทั้งที่ขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ และขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ขนาดก็มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร สูงไม่เกิน 5 เมตร จนถึงต้นที่มีขนาดใหญ่ๆ ซึ่งจะสูงประมาณ 24-25 เมตร ส่วนประกอบอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆ กันคือ
- ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ ผิวลำต้นคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง และมีส่วนประกอบที่เรียกว่าตุ่มหนาม
- ไม่มีใบที่แท้จริง เพราะใบลดรูปกลายเป็นหนาม ช่วยลดการคายของน้ำ ยกเว้นสกุล Pereskia ที่ยังคงมีใบที่แท้จริงให้เห็นอยู่และยังช่วยดูดเอาไอน้ำในอากาศมาเก็บไว้
- ดอกเป็นแบบไม่มีก้านดอก มักเกิดจากตาดอกที่บริเวณตุ่มหนาม ยกเว้นสกุล Echinocereus ซึ่งมีตาดอกเกิดที่ผิวต้นใกล้เนินหนามสกุล Mammillaria และ Coryphantha ซึ่งมีตาดอกเกิดระหว่างซอกเนินหนาม สกุล Melocactus , Iscocactus และ Cephalacereus ที่สามารถเกิดตาดอกขึ้นที่ส่วนยอดของต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นปุยนุ่มสีขาวหรือสีครีม

การจำแนกสายพันธุ์ของแคคตัสเป็นกลุ่ม
แคคตัสจัดเป็นพืชในวงศ์ Cactaceae มีอยู่ทั่วโลกทั้งสิ้น 50-150 สกุลด้วยกัน หรือประมาณ 2,000 ชนิด ซึ่งแบ่งตามวิธีของ Gordon Rowley (หนังสือ The Illustrated Encyclopaedia of Succulents) ได้เป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้
- กลุ่ม Ario Carpus
- กลุ่ม Astrophytum
- กลุ่ม Cereus
- กลุ่ม Echinocactus
- กลุ่ม Echinocereus
- กลุ่ม Echinopsis
- กลุ่ม Epiphyllum
- กลุ่ม Hylocereus
- กลุ่ม Lobivia
- กลุ่ม Mammillaria
- กลุ่ม Melocactus
- กลุ่ม Neopoteria
- กลุ่ม Opuntia
- กลุ่ม Pereskia
- กลุ่ม Pilocereus
- กลุ่ม Rebutia

การปลูกแคคตัสในกระบะหรือถาด ควรเลือกแคคตัสที่มีลักษณะลำต้นเป็นทรงกลมหรือมีทรงต้นไม่สูงนักโดยปลูกให้มีระยะห่างของแต่ละต้นเท่าๆ กัน และควรปลูกในถาดหรือกระบะที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
การปลูกลงดิน ควรเลือกทำเลที่มีการระบายน้ำที่ดี น้ำไม่ขัง ควรเป็นที่กลางแจ้ง มีแสงแดดส่องถึงในปริมาณวันละ 3-4 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย แต่ควรระวังเรื่องดินผสม อย่าให้ดินแน่นจนเกินไป อาจใช้วิธียกเป็นแปลงปลูกให้สูงกว่าระดับดินโดยรอบก็ได้
|
|