เรื่องล่าสุด
-
สกุล Astrophytum
กันยายน 16, 2025
-
ขั้นตอนการเพาะเมล็ด 2
กันยายน 16, 2025
-
สกุล Espostoa
กันยายน 15, 2025
-
สกุล Parodia
กันยายน 15, 2025
-
ความเป็นมาของแคคตัส
กันยายน 14, 2025
-
การให้น้ำแคคตัส
กันยายน 14, 2025
-
โรคทางกายภาพ
กันยายน 13, 2025
-
กลุ่ม Mammillaria
กันยายน 13, 2025
-
สกุล Rhipsalis
กันยายน 12, 2025
-
กลุ่ม Echinocactus
กันยายน 12, 2025
|

แคคตัสเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่ไม่ต้องการการดูแลรักษามากนัก แต่ถ้าแคคตัสขาดน้ำ แม้จะไม่ตายเพราะในต้นมีน้ำเลี้ยง แต่ก็จะไม่เจริญเติบโตงอกงามเท่าที่ควร เพราะขาดน้ำที่เพียงพอ
วิธีการให้น้ำแคคตัสอย่างถูกต้อง คือ ไม่ควรรดน้ำทุกวัน ให้ดูที่สภาพของดินก่อน ถ้าดินเริ่มแห้งจึงจะรด อาจจะรดทุกๆ 2-3 วัน หรือไม่ควรถี่จนเกินไป หรือถี่แบบวันเว้นวัน ควรรดน้ำให้โชกถึงราก แต่ระวังอย่าให้น้ำขังหรือดินแฉะ เพราะจะทำให้แคคตัสเน่าหรือเป็นโรคตายได้
แคคตัสแต่ละพันธุ์มีความต้องการน้ำและความถี่ในการรดน้ำแตกต่างกันออกไป มีวิธีทดสอบได้อย่างง่ายๆ คือ การปักไม้แห้งเล็กๆ ลงไปให้ลึกถึงโคนกระถางในวันที่รดน้ำ จากนั้นให้คอยสังเกตว่าไม้ยังชื้นน้ำอยู่หรือไม่ หากไม้แห้งเมื่อใดก็แสดงว่าถึงเวลาให้น้ำครั้งต่อไปแล้ว เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่รดน้ำครั้งแรกจนถึงวันที่ไม้ที่ปักแห้ง ก็จะได้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำให้แก่แคคตัสพันธุ์นั้นๆ

โรคทางกายภาพ เกิดจากสภาพการเลี้ยงที่ไม่ถูกต้อง มีหลายอาการ เช่น
1. ยอดต้นเริ่มเปลี่ยนสี ยุบและเน่าในทันที เกิดจากการให้น้ำมาเกินไป โดยเฉพาะในฤดูหนาวซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ พบมากในสกุล mammillaria
2. ต้นไม่เจริญเติบโต เกิดจาการให้น้ำมากเกินไป ดินอัดแน่นจนเกินป หรือรากเน่า แก้ไขได้โดยการเปลี่ยนดินใหม่โดยให้ใช้ดินผสมและควรปรับปรุงการให้น้ำ
3. ลำต้นหรือใบเหลือง เกิดจากการที่ต้นได้รับความร้อนหรือแห้งจนเกินไป แก้ไขได้โดยการเปลี่ยนระบบระบายอากาศและความชื้น
4. ลำต้นหรือใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเกิดจากการที่ดินมีฤทธิ์เป็นด่าง และขาดธาตุเหล็ก แก้ไขได้โดยตรวจสอบความเป็นกรด-ด่าง ของดิน และควรเติมธาตุเหล็กลงในดิน
5. ต้นมีสีซีดจาง เกิดจากรากเป็นแผล แก้ไขโดยการตัดรากที่ตายหรือถูกทำลายนั้นทิ้งไป และเปลี่ยนกระถางใหม่
6. ต้นมีลักษณะยืดยาว เกิดจากการที่ได้รับแสงไม่เพียงพอ แก้ไขโดยการย้ายกระถางไปตั้งในที่มีแสงสว่างเพียงพอ
7. ตาดอกไม่ผลิดอกเกิดจากการที่สภาพแวดล้อมมีอุณหภูมิต่ำ หรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แก้ไขโดยการย้ายกระถางไปตั้งในที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสมหรือสูงขึ้น
8. ดอกน้อยหรือดอกไม่บาน เกิดจากการที่ต้นไม้ได้รับธาตุไนโตรเจนมากจนเกินไปหรือไม่ได้พักตัวในช่วงฤดูหนาว แก้ไขโดยการให้ธาตุไนโตรเจนน้อยลง เพิ่มธาตุฟอสฟอรัส และควรให้พืชได้พักตัวในช่วงฤดูหนาว
9. ต้นอ่อนนุ่ม เกิดจากการที่สภาพแวดล้อมมีความชื้นสูงจนเกินไป และมีอุณหภูมิต่ำ แก้ไขโดยการลดความชื้น ตัดส่วนที่อ่อนนุ่มทิ้งไป และใช้ยากันราโรย
10. ต้นใส เกิดจากการที่สภาพแวดล้อมมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แก้ไขโดยการย้ายต้นไปไว้ในที่แห้งและที่มีอุณหภูมิไม่ต่ำจนเกินไป

กลุ่ม Mammillaria เป็นกลุ่มที่มีอยู่มากมาย มากถึง 200 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดนั้นก็มีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป อาจจะเป็นได้ทั้งต้นเดี่ยว หรือเป็นแบบพุ่มกอ มีหนวดดกแหลมคม คล้ายกับเข็ม หนามมีลักษณะคล้ายกับเส้นผม ลำต้นสูงไม่มากนัก ประมาณ 8-10 ฟุต สำหรับสกุลนี้รู้จักกันดี ได้แก่ Mammillaria และ Neolloydia มีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน เช่น Memmillaria zeilmanniana , Mammillaria wildii, Mammillaria rhodantha , Mammillaria microhelia , Memmillaria martinezii , Memmillaria pringleim , Memmillaria thereae, Memmillaria candida , Memmillaria solisii , Memmillaria tolimensis , Memmillaria autihamata เป็นต้น

สกุล Rhipsalis แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่มากกว่า 60 ชนิดและอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Rhipsalis มาจากภาษากรีก หมายถึง การทำงานของเครื่องจักรสาน ซึ่งหมายถึงทรงต้นที่มีกิ่งก้านเล็ก ผอมและอ่อน แคคตัสในสกุลนี้เป็นพืชจำพวก epiphytic แตกกิ่งก้านได้อย่างอิสระและมักจะห้อยย้อยลงมา อาจพบว่ายาวได้ถึง 0.3-2 เมตร ลำต้นมีหลายรูปร่างลักษณะ เช่น ผอมเล็ก อ้วนกลม เป็นทรงกระบอก หรือเป็นสี่เหลี่ยม สีลำต้นก็มีหลายสีตั้งแต่สีเขียวอมเหลืองจนไปถึงสีเขียวเข้ม ตุ่มหนามมีขนาดเล็ก บริเวณใกล้ตุ่มหนามมีสีแดงเรื่อๆ อยู่ด้วย อาจจะมีหนามหรือไม่มีก็ได้ บางครั้งอาจจะพบเป็นขนแข็งสั้นๆ หรือขนที่มีลักษณะคล้ายเส้นผม
ดอกมีขนาดเล็ก เกิดในบริเวณตุ่มหนาม 1 ดอกต่อ 1 ตุ่มหนามและสามารถเกิดได้พร้อมกันหลายๆ ดอก มีหลายสี เช่น สีขาว สีออกเหลืองๆ สีชมพู สีม่วง ผลมีเนื้อนุ่ม เมื่อสุกจะเป็นสีขาวจนถึงสีม่วง
แคคตัสในสกุล Rhipsalis มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบเม็กซิโก หมู่เกาะเวสต์อินดีส และแถบอเมริกาใต้ แต่บางชนิดพบได้แถวๆ ตะวันออกของแอฟริา มาดากัสการ์ และศรีลังกา ส่วนมากเจริญเติบโตได้ง่ายในดินที่อุดมสมบูรณ์ ความชื้นในอากาศสูง มีร่มเงา โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อน

กลุ่ม Echinocactus แคคตัสกลุ่มนี้มีลำต้นค่อนข้างเล็ก มีลักษณะเป็นทรงกลมแป้นหรือกระบอก ส่วนของสันต้นเห็นได้ชัดเจน บริเวณโคนของหลอดดอกอาจมีปุยนุ่มหรือไม่มีก็ได้ แต่จะไม่มีหนามขึ้นปกคลุม ดอกจะเกิดอยู่ในบริเวณกลางลำต้นทางด้านบนสุดของต้นและไม่มี Cephalium (บริเวณที่หนาม หรือขนแข็งสั้นๆ ขึ้นอยู่รวมกันอยู่อย่างหนาแน่น อาจจะพบอยู่ด้านข้างหรือปลายยอดของต้น เป็นบริเวณที่เกิดดอกและติดผล)
แคคตัสในกลุ่มนี้แบ่งออกเป็นหลายสกุลด้วยกัน ได้แก่ Ancistrocactus , Ariocarpus , Astrophytum , Aztekium , Cochemiea , Coloradoa , Copiapoa , Coryphantha , Dolichothele , Echinocactus , Echinomastus , Echinofossulocactus , Encephalocarpus , Epithelantha , Escobaria , Ferocactus , Gymnocalycium , Hamatocactus , Homalocephala , Isiays , Leuchtenbergia , Lophophora , Mamillopsis , Mammillaria , Neobesseya , Neogamesia , Neolloydia , Neoporteria , Ortegocactus , Parodia, Pediocactus , Pelecyphora , Sclerocactus , Solisia, Strombocactus , Thelocactus , Toumeya และ Utahia
|
|