เรื่องล่าสุด
-
สกุล Parodia
พฤษภาคม 12, 2025
-
ความเป็นมาของแคคตัส
พฤษภาคม 12, 2025
-
การให้น้ำแคคตัส
พฤษภาคม 11, 2025
-
โรคทางกายภาพ
พฤษภาคม 11, 2025
-
กลุ่ม Mammillaria
พฤษภาคม 10, 2025
-
สกุล Rhipsalis
พฤษภาคม 10, 2025
-
กลุ่ม Echinocactus
พฤษภาคม 9, 2025
-
กลุ่ม Lobivia
พฤษภาคม 9, 2025
-
สกุล Echinocereus
พฤษภาคม 8, 2025
-
กลุ่ม Echinocereus
พฤษภาคม 8, 2025
|

สกุล Cleistocactus แคคตัสในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยแคคตัสมากกว่า 50 ชนิด และอีกหลากหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Cleistocactus มาจากภาษากรีก โดยหมายถึง Closed Cactus หรือการผสมพันธุ์ที่เกิดขึ้นภายในดอกที่หุบอยู่ (เรียกดอกประเภทนี้ว่า cleisotogamous flower) ลำต้นอาจมีลักษณะตั้งตรงหรือโค้งงอ รูปร่างเรียวสูง และจะแตกกิ่งก้านอย่างอิสระ พวกที่มีลำต้นตั้งตรง อาจมีความสูงได้มากกว่า 2 เมตร ในขณะที่พวกที่มีลำต้นโค้งงอ เช่น Cleistocactus dependens อาจะมีความสูงได้ถึง 5 เมตรหรือมากกว่านั้น ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-6.50 เซนติเมตร และมีสันประมาณ 7-26 สัน
แคคตัสกลุ่มนี้บางชนิด เช่น Cleistocactus strausil พูกลีบจะถูกปกคลุมไปด้วยหนามละเอียดมากมาย เนินหนามอยู่ชิดติดกันและมีขนาดเล็ก ประกอบไปด้วยหนามกลางที่ยาวและแข็งแรง 4 อัน หนามข้างประมาณ 8-30 อัน หรือมากกว่านั้น ลักษณะละเอียดและอาจยาวได้ถึง 1.25 เซนติเมตร
ดอกมีลักษณะเป็นหลอด เปิดออกเฉพาะส่วนปลายเท่านั้น หลอดดอกอาจจะมีลักษณะตรง หรือเป็นแบบ Zygomorphic (ลักษณะของดอกที่แบ่งตามแนวเส้นผ่าศูนย์กลางได้เป็น 2 ส่วน ทั้ง 2 ส่วนจะมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ และแบ่งได้เพียง 1 ครั้ง) ในบางชนิดดอกอาจะมีลักษณะเป็นแบบ Zygomorphic อย่างชัดเจน และมีรูปร่างคล้ายหม้อต้มกาแฟ ด้านนอกของดอกประกอบด้วยขนสั้นๆ ที่พัฒนามาจากใบของต้น โดยเฉพาะแคคตัสชนิด Cleistocactus strausii นั้น พบว่ามีขนอยู่มากมายบริเวณดอก สีดอกมีตั้งแต่เฉดสีเหลืองจนไปถึงสีเขียวสว่าง หรือเฉดสีแดงจนถึงม่วง ผลมีลักษณะทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 เซนติเมตร หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ส่วนเปลือกมีสีและลักษณะเหมือนด้านนอกของหลอดดอก
แคคตัสสกุล Cleistocactus นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนกลางของเปรู ทางตะวันออกของโบลิเวีย และทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายทั้งการเพาะเมล็ดและตัดแยก ออกดอกตลอดทั้งปี และอดทนต่ออุณหภูมิที่หนาวเย็นได้

การปลูกแคคตัสในกระบะหรือถาด ควรเลือกแคคตัสที่มีลักษณะลำต้นเป็นทรงกลมหรือมีทรงต้นไม่สูงนักโดยปลูกให้มีระยะห่างของแต่ละต้นเท่าๆ กัน และควรปลูกในถาดหรือกระบะที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
การปลูกลงดิน ควรเลือกทำเลที่มีการระบายน้ำที่ดี น้ำไม่ขัง ควรเป็นที่กลางแจ้ง มีแสงแดดส่องถึงในปริมาณวันละ 3-4 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย แต่ควรระวังเรื่องดินผสม อย่าให้ดินแน่นจนเกินไป อาจใช้วิธียกเป็นแปลงปลูกให้สูงกว่าระดับดินโดยรอบก็ได้

สกุล Echinopsis แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ประมาณ 60 กว่าชนิดและอีกหลายสายพันธุ์ ชื่อสกุล Echinopsis มาจากภาษากรีก หมายถึง เม่น ส่วนมากจะมีลักษณะกลมแป้นและจะเปลี่ยนเป็นทรงกระบอกเมื่อมีอายุมากขึ้น ลักษณะเป็นต้นตรง มักจะพบเป็นต้นเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่ม มีแคคตัสในสกุลนี้อยู่ประมาณ 2-3 ชนิด ที่มีขนาดใหญ่ คือ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 เซนติเมตร และสูงถึง 70 เซนติเมตร ลำต้นเป็นสัน 8-30 สัน ตุ่มหนามมีลักษณะกลม เรียงอยู่ชิดติดกัน หรือห่างกันมากกว่า 2.5 เซนติเมตร มีหลายสี เช่น สีเทา สีขาว หรือสีน้ำตาล ประกอบไปด้วยหนามข้าง มีลักษณะตรงหรือโค้งงอ แผ่กระจายหรือแนบไปกับลำต้น มีอยู่ประมาณ 5-30 อัน ชนิดที่มีต้นขนาดใหญ่หนามข้างจะแข็งแรงยาวประมาณ 1.25-5 เซนติเมตร ส่วนหนามกลางจะตั้งเด่นออกมาจากลำต้น ชนิดต้นเล็กหนามกลางจะเล็กและสั้น ส่วนชนิดที่มีต้นขนาดใหญ่จะยาวมากกว่า 2.5 เซนติเมตร มีอยู่มากกว่า 4 อัน สีหนามมีตั้งแต่สีขาว สีดำ สีเทา และสีน้ำตาล
ดอกมีลักษณะคล้ายกับทรัมเป็ต บางชนิดจะยาวถึง 20 เซนติเมตร พวกที่ดอกบานในตอนกลางคืนจะมีสีขาวและสีชมพูดซีด มักมีกลิ่นหอม ส่วนดอกที่บานในเวลากลางคืน ดอกจะมีสีเหลืองหรือสีแดง หลอดดอกปกคลุมไปด้วย ผลมีลักษณะเป็นทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25-5 เซนติเมตร มีขนหรือหนามสั้นๆ ปกคลุม เมื่อแก่ตัวจะมีสีน่ำตาลปนเขียวหรือสีน้ำตาลแดงและมักจะแตกออก
แคคตัสสกุล Echinopsis มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา ทางใต้ของบราซิล ปารากวัย และอุรุกวัย สามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายๆ พื้นที่ รวมทั้งพื้นที่สูงๆ ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดและตัดแยก โดยต้นใหม่ที่เกิดขึ้นมามักจะมีรากติดมาด้วย บางชนิดออกดอกได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนจะชอบน้ำมาก แต่ในฤดูหนาวควรงดให้น้ำ

สกุล Pereskia แคคตัสในสกุลนี้มีอยู่ประมาณ 25 ชนิด และอีก 2-3 สายพันธุ์ ชื่อสกุล Pereskia ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ N.CF.de Pieresc (พ.ศ. 2130-2180) แคคตัสในสกุล Pereskia ชนิดแรกที่ถูกนำเข้ามาในยุโรปในช่วงปลายศตวรรษที่ 26 ถูกค้นคว้าโดย Linnaeus ในปี พ.ศ. 2296 นั้นเรียกว่า Cactus pereskia หรือในปัจจุบันที่รู้จักกันในชื่อว่า Pereskia aculeata แคคตัสในสกุลนี้มีรูปร่างแตกต่างไปจากแคคตัสในสกุลอื่นๆ เช่น มีลักษณะเป็นพุ่มคล้ายพวกซัคคิวเลนท์ เป็นไม้เลื้อยหรืออาจจะเป็นไม้ยืนต้น มีการผลัดใบ และมีหนามที่บริเวณลำต้น เห็นได้ชัดเจน ชนิดที่เป็นพุ่มขนาดเล็กนั้นมักจะมีความสูงไม่เกิน 1 เมตร แต่ชนิดที่เป็นไม้เลื้อยหรือไม้ยืนต้นอาจจะมีความสูงได้ถึง 5-20 เมตรเลยทีเดียว
ดอกมีทั้งที่เป็นดอกเดี่ยวและอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ชนิดที่เป็นดอกเดี่ยวนั้นจะมีลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ มีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลืองสว่าง สีม่วงแดง หรือสีแดงสด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-5 เซนติเมตร ผลมีลักษณะทรงกลม เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองหรือสีแดงสด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-5 เซนติเมตร
แคคตัสสกุล Pereskia มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่เกาะเวสต์อินดีส ทางตอนกลางของอเมริกา ทางใต้สุดจนถึงทางเหนือของอาร์เจนตินา ปารากวัย และเปรู สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและตัดชำ แคคตัสในสกุลนี้มีพืชในเขตร้อน จึงชอบอากาศอบอุ่น และน้ำอุดมสมบูรณ์ จึงจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และออกดอกได้ดี มีอยู่ 2-3 ชนิดที่สามารถเก็บให้อยู่ในระยะฟักตัวในฤดูหนาวได้

กลุ่ม Neopoteria ลักษณะลำต้นค่อนข้างเล็ก เป็นทรงกลม หรือทรงกระบอก มีลักษณะของสันต้นที่ชัดเจน ด้านโคนของหลอดดอกมีลักษณะเป็นปุยนุ่มและมีหนาม แบ่งออกได้หลายสกุล ได้แก่ Austrocactus , Blossfeldia , Eriosyce , Frailea , Neoporteria , Notocactus , Parodia , Uebelmannia และ Wigginsia
|
|